วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week5 : เรื่องที่นักเรียนสนใจ (Spirited Away)

Spirited Away  

              สำหรับคนทุกคนคงปฎิเสธไม่ได้ว่าตนเองไม่มีการ์ตูนที่ชอบ หรือการ์ตูนในดวงใจ เช่นการ์ตูนในตำนานอย่าง Doraemon หรือ Dragonball และการ์ตูนที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างเช่น Onepiece หรือ Frozen
ส่วนตัวเจ้าของบล็อคเองก็มีการ์ตูนที่ชอบมากเป็นพิเศษอยู่ด้วย นั่นก็คือเรื่อง Spirited Away




                                                                        ดูรูปภาพ (คลิกที่นี่)

Spirited Away (มิติวิญญาณ) ถ้าหากพูดชื่อของมันก็อาจไม่มีคนรู้จักเท่าไหร่นัก ยิ่งพูดถึงชื่อของค่ายการ์ตูนอย่าง Studio Glibli แล้วยิ่งไม่คุ้นเข้าไปใหญ่ โดยเรื่องนี้ผู้เขียนและกำกับคือ ฮะยะโอ มิยาซากิ ซึ่งเข้าฉายในวันที่ 27 กรกฎาคม 2544 (นานมากๆ) หากใครไม่เคยดู แนะนำว่าให้หามาดูเลยเพราะมันสนุกจริงๆ


เรื่องราวคร่าวๆ(Spoil)
       
           ตัวเอกของเรื่องคือเด็กสาวที่ชื่อจิฮิโระ และพ่อแม่ของเธอได้หลงเข้าไปในอีกมิติหนึ่งและพ่อแม่ของจิฮิโระก็ถูกสาปให้กลายเป็นหมู ระหว่างที่กำลังสับสนก็ได้ความช่วยเหลือจาก ฮากุ เด็กผู้ชายปริศนาที่ช่วยให้เข้าไปหลบซ่อนในโรงอาบน้ำที่เต็มไปด้วยภูตผีต่างๆมากมาย




                                                                      ดูรูปภาพ (คลิกที่นี่)

จิฮิโระต้องที่งานอย่างหนักเพื่อแลกกับการมีชีวิตรอด และเพื่อจะช่วยเหลือพ่อแม่ของเธอ โดยต้องทำงานให้กับแม่มด ยูบาบา และยังรวมไปถึงการถูกติดตามโดย ผีไร้หน้า ในหน้ากากและชุดคลุมสีดำ ที่คอยเสกทองและสิ่งต่างๆเพื่อตอบสนองความโลภของคนในโรงอาบน้ำ และจับกินในที่สุด




                                                                    ดูรูปภาพ (คลิกที่นี่)


ในช่วงสุดท้ายจิฮิโระได้ไปหาเซนิบะ (พี่ฝาแฝดของยูบาบา) โดยที่มี โบ ลูกรักของยูบาบาติดไปด้วยและได้ตามไปจนถึงบ้านของเซนิบะ หลังจากที่ยูบาบารูเรื่องเข้าจึงยกข้อเสนอว่าให้นำโบกลับมาโดยแลกกับตัวพ่อและแม่ที่กลายเป็นหมู และกลับไปสู่มิติเดิมได้






                                                                  ดูรูปภาพ (คลิกที่นี่)

 โดยเมื่อกลับไปถึงโรงอาบน้ำ ยูบาบาทดสอบจิฮิโระว่า ให้ชี้หมูตัวที่เป็นพ่อและแม่ของจิฮิโระ และจิฮิโระตอบว่า ไม่มี ซึ่งนั่นก็เป็นคำตอบที่ถูก และครอบครัวของจิฮิโระได้กลับไปยังมิติเดิมส่วนพ่อและแม่ก็กลับเป็นมนุษย์เหมือนเดิม




                                                                 ดูรูปภาพ (คลิกที่นี่)

                 ในเรื่องนี่นั้น ตัวเจ้าของบล็อกได้เคยดูผ่านๆตามาแล้วในสมัยประถม ซึ่งตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรและคงจะสนุกในรูปแบบของการ์ตูนทั่วๆไป  แต่เมื่อเร็วๆนี้ได้มาลองหยิบมันขึ้นมาดูใหม่อีกครั้ง เหมือนกับว่ามันเป็นคนละเรื่องกับสมัยเด็ก คือเราสามารถตีความมันได้หลายความหมาย ไม่ว่าจะเป็นความโลภ ความเห็นแก่ตัว การไร้ตัวตน หรืออื่นๆอีกมากมายที่เราจะพบได้ในการ์ตูนเรื่องนี้ และแน่นอนว่าข้อคิดของมันก็สามารถใช้ได้กับมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัยอีกด้วย





ที่มาวิดีโอ (คลิกที่นี่)


ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก :



วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week4 : โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ C

รู้จักกับภาษา C : 
             
             ภาษา C เป็นภาษาที่เก่าแก่ ถือกำเนิดมายาวนาน โดยแต่เดิมภาษา C ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้เป็นภาษาสำหรับการสร้างระบบปฎิบัติการยูนิกซ์ แต่ในปัจจุบัน ภาษา C ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การสร้างระบบปฎิบัติการเท่านั้น  แต่ยังสามารถนำไปใช้สร้างโปรแกรมเพื่องานในทุกประเภท เช่นการคำนวณ การควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ชนิดต่างๆ การจัดฐานข้อมูลหรือสร้างโปรแกรมจัดพิมพ์เอกสารเป็นต้น 

ประวัติของภาษา C :

            ภาษา C ถูกคิดค้นขึ้นครั้งแรกโดย เดนนิส ริทชี่ ( Dennis Ritchie ) ในปี 1972  โดยได้แนวคิดมาจากภาษา BCPL ที่พัฒนาโดย มาร์ติด ริชาร์ด ( Martin Richards ) และภาษา B โดย เคน ทอมพ์สัน (Ken Thompson) จากนั้นในปี 1978 ภาษา C ได้รับการเผยแพร่อย่างเป็นทางการ 


จุดเด่นของภาษา C :
           - เป็นภาษาที่มีการกำหนดมาตรฐานสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกชนิด 
           - มีการพัฒนาสำหรับใช้กับเครื่องทุกรุ่น จึงสามารถเขียนโปรแกรมภาษาCได้ทุกระบบปฏิบัติการ 
           - มีโครงสร้างทางภาษาที่ดี แลพมีประสิทธิภาพการทำงานสูง





ขั้นตอนการทำงานของโปรแกรมภาษา C :

           เริ่มจากการเขียนโปรแกรมด้วยคำสั่งในภาษา C ให้ถูกต้องตามหลัก โดยใช่โปรแกรมจัดพิมพ์เอกสารทั่วไป เช่น Notepad สำหรับโปรแกรมภาษา C ที่เขียนนั้น เวลาบันทึก (Save) ตั้งตั้งชื่ิอไฟล์
เป็น .c เท่านั้น เช่น cal.c , temp.c , hello.c เป็นต้น 
           ต่อมาเป็นการคอมไพล์ ซึ่งก็คือการเรียกให้ตัวแปลภาษา C (C Compiler) ทำการตรวจสอบความถูกต้องของโปรแกรม โดยถ้าไม่พบข้อผิดพลาด จะทำการแปลโปรแกรมให้เป็นไฟล์นามสกุล .obj หรือ Object file ถ้าภายในโปรแกรมมีการเรียกใช้ฟังก์ชันซึ่งเก็บอยู่ในไลบรารีของภาษา C ฟังก์ชันเหล่านั้นจะถูกนำมารวกกับ .obj ด้วยโปรแกรม linker  ก่อนจะแปลงเป็นนามสกุล .exe ซึ่งเป็นไฟล์ที่จะทำให้คอมพิวเตอร์ทำงาน 




ข้อมูลอ้างอิงจาก : 
หนัวสือคู่มือการเขียนโปรแกรม ภาษา C (ฉบับผู้เริ่มต้น) 
โดยประภาพร ช่างไม้
ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก : 



วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week3 : Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย

                 

                     ในยุคสมัยนี้ Social Network เป็นสิ่งที่วัยรุ่นจะขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับเพื่อน  การส่งงาน  การติดต่อกันผู้ปกครองต่างก็ใช้ Social Network ทั้งสิ้น และด้วยการเดินทางไปเรียน หรือทำงาน ก็จะมีช่วงเวลาที่น่าเบื่อ จนเราต้องหยิบโทรศัพท์/แท็บเล็ต ขึ้นมากดเล่นเพื่อแก้เบื่อกันบ้าง

Social Network ที่นิยมใช้กันมากก็ยกตัวอย่างเช่น Facebook  และ Line  ซึ่งเราจะใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันทั้งในวงกว้าง จนถึงการพูดคุยส่วนตัวเลย ซึ่งการเข้าถึง Social Network นี้ก็ทำได้อย่างง่ายดาย และสะดวกมาก







                     ในแง่มุมของผู้ใหญ่ที่ไม่ได้ใช้งาน Social Network อาจจะมองว่า สิ่งนี้ทำให้เด็กไทยไม่มีสมาธิกับการเรียน คอยแต่จะสนใจที่จะเล่นอยุ่ตลอดเวลา ซึ่งก็เป็นความจริงอยู่ส่วนหนึ่ง ในบางโรงเรียนจึงวางกฎระเบียบไม่ให้นำโทรศัพท์มือถือเข้าห้องเรียน เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนสมาธิของตนเองและผู้อื่น










                     "สังคมก้มหน้า"  เป็นอีกชื่อเรียกหนึ่งของกลุ่มคนที่ติด Social Network ที่คอยแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นสมาทโฟน จนไม่ได้สนใจคนรอข้าง หรือแม้จะมากับกลุ่มเพื่อนก็จะไม่มีกิจกรรมที่ทำร่วมกัน โดยต่างคนต่างคุยกันผ่าน Social Network แม้ว่าจะอยุ่ใกล้กันเพียงไม่กี่เซนติเมตรก็ตาม







ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก :
http://it.socialdaily.com/images/social-network.jpg
http://f.ptcdn.info/968/019/000/1402414053-a-o.jpg


วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week2 : สัตวแพทยศาสตร์..เรียนอะไรบ้าง

                 ก่อนจะพูดถึงว่าสัตวแพทย์นั้นเรียนอะไรกันบ้างก็ต้องขอเริ่มจากการเข้าเรียนคณะนี้ก่อน 

โดยคณะสัตวแพทยศาสตร์นี้จะใช้การสอบรับตรง GAT PAT2 O-net และการสอบ 9 วิชาสามัญ(2559) ซึ่งเกณฑ์การรับจะแตกต่างกันไปในแต่ละมหาวิทยาลัย 





ในการเรียนคณะสัตวแพทย์นี้จะเรียนทั้งหมด 6 ปี 

ปี1 จะเรียนในส่วนของวิชาพื้นฐาน วิชาเดิมๆที่เคยเรียนมาจากมัธยม ทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิตศาสตร์ และวิชาภาษาอังกฤษ  และบางวิชาที่จะต้องเรียนและไปตัดเกรดร่วมกันกับทันตแพทย์ และแพทย์ 
โดยภาพรวมแล้วปี1นี้ถือว่าเป็นปีที่มีเวลาว่างมากที่สุด

ปี2 เรียกกันว่า Pre clinic โดยจะเริ่มเรียนวิชาที่เกียวกับสัตวแพทย์อย่างจริงๆจังๆสักที 
วิชาที่มีการสอน ยกตัวอย่างเช่น วิชากายวิภาคศาสตร์ วิชาจุลกายวิภาค(ตาเปล่ามองไม่เห็น)  วิชาชีวะเคมี และสัตวบาลเป็นต้น 


ปี3 เป็นวิชาที่ต่อจากปี2 โดยจะเรียนของปี2ต่อให้จบภายใน1เทอม และเรียนวิชาใหม่เพิ่มเติมเช่น โรคในสัตว์ และเกี่ยวกับเภสัชวิทยา โดยปีนี้จะถือว่ามีการเรียนที่โหด และยากมากที่สุด

ปี4 เรียกกันว่า Clinic ซึ่งจะมีการเรียนที่จะลงลึกไปถึง การผ่าตัด อายุรศาสตร์  พยาธิวิทยาเป็นต้น และยังมีสุนัขที่ใช้ในการทดลองผ่าตัดทั้ง 2 เทอมด้วย

ปี5 จะเรียนกันแค่ต้นๆเทอมเช่นวิชาศัลยศาสตร์ในสัตว์ใหญ่ (วัว ม้า )  และหลังจากเรียนวิชาต่างๆแล้วจะมีการฝึกงานต่างๆทั้งในสัตว์เลี้ยง และปศุสัตว์

ปี6 ในปีสุดท้ายจะมีการเรียนในรูปแบบของค่ายชนบท (สัตวแพทย์อาสาเพื่อชนบท) และจะต่อด้วยการฝึกงานที่จะแยกเป็นแบบต่างๆตามความชอบของเรา 



ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก :
https://www.colourbox.com/preview/8917981-veterinary-symbol-with-isolated-pet.jpg
http://i.dailymail.co.uk/i/pix/2013/06/30/article-2351921-188617E1000005DC-284_634x488.jpg

ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก :
http://writer.dek-d.com/pond/story/view.php?id=54122
https://blog.eduzones.com/futurecareerexpo/100136




วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week1 : เทคโนโลยีกับชีวิตประจำวันของนักเรียน

ในวันนึงเราใช้เทคโนโลยีมากมายหลายชนิดตลอดทั้งวัน ตั้งแต่ตื่นยันนอนหลับ เทคโนโลยีที่เราใช้ก็จะมีทั้งเก่าและร่วมสมัยปะปนกันไป  คุณลองคิดดูสิว่าในหนึ่งวันเราอยู่กับอะไรบ้าง 


ตัวอย่างเช่นการตื่นนอนในตอนเช้า คนส่วนมากปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไม่ได้ใช้เทคโนโลยี แน่นอนละว่าเราต้องใช่สิ่งที่เรียกว่า'นาฬิกาปลุก'  ในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ต่างก็มีเวลาที่เร่งรีบเหมือนๆกัน คงจะยากที่จะตื่นให้ตรงเวลาหากไม่มีสิ่งนี้ บางคนก็ใช้นาฬิกาแบบอนาล็อกที่คุณภาพดี ราคาถูก หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด หรือแบบดิจิตอลที่อยู่ตามโทรศัพท์มือถือก็สามารถใช้ปลุกได้ดีพร้อมกับประโยชน์ใช้สอยแบบต่างๆ  





ในการเดินทางระหว่างวันเราก็จะใช้พาหนะต่างๆตลอดทั้งวัน คนที่มีรถยนต์ส่วนตัวก็มีมาก หรือคนที่ใช้รถสาธารณะก็มีเยอะพอสมควร ซึ่งจะทำให้มีการจราจรหนาแน่น ในส่วนของตรงนี้ก็เป็นเทคโนโลยีเหมือนกัน เช่นการขับเคลื่อน ระบบไฟจราจร ระบบความปลอดภัย ที่จะทำให้ชีวิตประจำวันของเราเป็นไปอย่างสะดวก





ในการเรียนเราก็ใช้เทคโนโลยีมากมาย ตั้งแต่การขึ้นลิฟต์ ระบบไฟฟ้า การใช้ไมโครโฟน การใช้สื่อมัลติมีเดีย โดยในนักเรียนบางคนก็จะมีการใช้สมาทโฟนเพื่อเป็นตัวช่วยในการเรียนรู้ การแปลศัพท์ หรือแม้แต่ส่งข้อความไปหากันในระหว่างชั่วโมงเรียนหรือช่วงพักเที่ยง 






ซึ่งหากว่าเราใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เราจะสามารถใช้งานสิ่งเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญคือเราจะต้องไม่ละเมิดสิทธิและความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น และต้องไม่ใช้เทคโนโลยีที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน 
                                        
                                                                            
                                                                                       
ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก: